messager
 
องค์การบริหารส่วนตำบลแช่ช้าง info_outline ข้อมูลการติดต่อ
ยินดีต้อนรับ เข้าสู่เว็บไซต์ องค์การบริหารส่วนตำบลแช่ช้าง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่
home ข้อมูลหน่วยงาน
ข้อมูลทั่วไปของหน่วยงาน/1สภาพเศรษฐกิจ ประชาชนในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลแช่ช้าง ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพ เกษตรกรรม เช่น ปลูกข้าว ทำไร่ยาสูบ ทำสวน พืชผัก กระเทียม พริกขี้หนู แตงโม แตงไทย แตงกวา ฯลฯ นอกจากการเพาะปลูกพืชแล้ว ยังทำการเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ โคนม ควบคู่กับการรับจ้างภายในตำบล และรับจ้างในโรงงานอุตสาหกรรม สถานประกอบการด้านอุตสาหกรรม 1. สถานประกอบการด้านอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ จำนวน 4 แห่ง 2. สถานประกอบการขนาดกลาง จำนวน 8 แห่ง 3. โรงงานอุตสาหกรรมขนาดเล็ก จำนวน 5 แห่ง สถานประกอบการด้านการบริการ 1. ปั๊มน้ำมัน จำนวน 1 แห่ง 2. ปั๊มน้ำมันหลอด จำนวน 3 แห่ง 3. หอพัก จำนวน 5 แห่ง 4. สถานที่จำหน่ายอาหารและร้านอาหาร จำนวน 3 แห่ง 5. ร้านค้า จำนวน 29 แห่ง 6. โรงสีข้าว จำนวน 3 แห่ง 7. โรงงานบรรจุแก๊ส จำนวน 2 แห่ง 8. ร้านเสริมสวย จำนวน 3 แห่ง สภาพทางสังคม ด้านการศึกษา ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จำนวน 1 แห่ง คือ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านป่าเปา มีนักเรียนจำนวน 43 คน และมีครู จำนวน 3 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 มีโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเขต 1 เชียงใหม่ จำนวน 1 แห่ง คือ โรงเรียนวัดดอนปีน โดยมีการจัดการเรียนการสอนในระบบรวมศูนย์โรงเรียนที่โรงเรียนบ้าน แช่ช้าง ซึ่งเป็นโรงเรียนในเขตเทศบาลตำบลสันกำแพง มีศูนย์เรียนรู้ชุมชนตำบลแช่ช้าง จำนวน 1 แห่ง และมีที่อ่านหนังสือพิมพ์ประจำหมู่บ้าน จำนวน 8 แห่ง สถาบันและองค์กรทางศาสนา วัด จำนวน 4 แห่ง และ โบสถ์ จำนวน 1 แห่ง ด้านสาธารณสุข โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล มีจำนวน 1 แห่ง ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 1 บ้านดอยยาว ตำบลแช่ช้าง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุข จำนวน 5 คน แยกเป็น ชาย 2 คน และหญิง 3 คน การบริการพื้นฐาน การคมนาคมและขนส่ง การคมนาคมในตำบลแช่ช้าง มีเส้นทางหลัก 3 สาย ประกอบด้วยท สายเชียงใหม่ - แม่ออน เป็นถนนลาดยางแอสฟัลต์ , สายสันกำแพง - บ้านธิ เป็นถนนลาดยางแอสฟัลต์ และสายแช่ช้าง - ร้องก่องข้าว เป็นถนนลาดยางแอสฟัลต์ การเดินทางเข้าสู่ตำบล ถนนสายเชียงใหม่ – แม่ออน เริ่มจากสี่แยกดอนจั่น มาตามเส้นทางถึงสี่แยกบ้านดอยยาว ประมาณ 16 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายตามถนนบ้านธิ - สันกำแพง ประมาณ 1 กิโลเมตร และเลี้ยวขวาเข้าบ้านป่าเปา เป็นระยะทาง 1.5 กิโลเมตร ***************************
ข้อมูลประชากรรอปรับปรุง
ข้อมูลทั่วไปของหน่วยงานประวัติความเป็นมาของตำบลแช่ช้าง นานมาแล้วมีพ่อค้าไม้ได้นำไม้สักล่องซุงมาตามน้ำแม่ออน ผ่านมาถึงหมู่บ้านหนึ่ง และมาอยู่ที่หมู่บ้านนี้ พ่อค้าไม้ได้นำช้างจำนวนมากมาชักลากไม้สักที่บริเวณดังกล่าวนี้ และสองฝั่งลำน้ำบริเวณนี้มีต้นไผ่ปลูกเรียงราย เต็มไปหมดสองฝั่งออน ช้างที่ลากซุงได้นอนแช่น้ำและกินต้นไผ่เป็นอาหารอย่างมีความสุข ชาวบ้านผ่านไปพบเห็นทุก ๆ วัน จึงได้ขนานนามเรียก "แช่ช้าง" จนถึงปัจจุบัน อาณาเขต ลักษณะภูมิประเทศขององค์การบริหารส่วนตำบลแช่ช้าง เป็นพื้นที่ราบลุ่มด้านทิศใต้ของแม่น้ำแม่ออน และมีคลองชลประทานตัดผ่านในเขตพื้นที่ 2 สาย จึงทำให้มีน้ำใช้พอสมควร สภาพดินฟ้าอากาศทั่วไปอยู่ในเกณฑ์ปกติ มีแหล่งน้ำทางการเกษตรที่สำคัญ ประกอบด้วย ชลประทานแม่กวง และน้ำแม่ออน มีอาณาเขตติดต่อ ทิศเหนือ ติดต่อกับ เทศบาลตำบลสันกำแพง ตำบลทรายมูล และ ตำบลร้องวัวแดง อำเภอสันกำแพง โดยใช้ลำน้ำแม่ออนเป็นแนวแบ่งเขต ทิศใต้ ติดต่อกับ ตำบลห้วยยาบ กิ่งอำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน โดยใช้เหมืองฮ่องอีแจ้เป็นแนวแบ่งเขต ทิศตะวันออก ติดต่อกับ ตำบลออนใต้ อำเภอสันกำแพง โดยใช้เหมืองลึกเป็นแนวแบ่งเขต และทิศตะวันตก ติดต่อกับ ตำบลบวกค้าง อำเภอสันกำแพง โดยใช้แนวคันนาเป็นแนวแบ่งเขต เขตการปกครอง ตำบลแช่ช้าง แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 10 หมู่บ้าน ประกอบด้วย หมู่ที่ 1 บ้านดอยยาว , หมู่ที่ 2 บ้านม่วงชุม , หมู่ที่ 3 บ้านป่าเปา , หมู่ที่ 4 บ้านดงขี้เหล็ก , หมู่ที่ 5 บ้านดอนปีน , หมู่ที่ 6 บ้านป่าไผ่เหนือ , หมู่ที่ 7 บ้านป่าไผ่กลาง , หมู่ที่ 8 บ้านป่าไผ่ใต้ , หมู่ที่ 9 บ้านหัวฝาย และหมู่ที่ 10 บ้านแม่ซ้อ - โค้งงาม จำนวนหมู่บ้านที่อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบขององค์การบริหารส่วนตำบลแช่ช้าง จำนวน 8 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ที่ 1 บ้านดอยยาว , หมู่ที่ 2 บ้านม่วงชุม , หมู่ที่ 3 บ้านป่าเปา , หมู่ที่ 4 บ้านดงขี้เหล็ก , หมู่ที่ 5 บ้านดอนปีน , หมู่ที่ 6 บ้านป่าไผ่เหนือ อยู่ในเขตเทศบาลตำบลสันกำแพงประมาณ 78% อยู่ในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลแช่ช้าง บางส่วนอีก 22% , หมู่ที่ 8 บ้านป่าไผ่ใต้ พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในเขตเทศบาล พื้นที่ส่วนที่อยู่ อบต. ไม่มีจำนวนประชากร , หมู่ที่ 9 บ้านหัวฝาย และหมู่ที่ 10 บ้านแม่ซ้อ - โค้งงาม ประชากร ประชาชนของตำบลแช่ช้างส่วนใหญ่เป็นไทยเมือง , ไทยยอง ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ จำนวนประชากรทั้งสิ้น 4,994 คน แยกเป็นชาย 2,404 คน หญิง 2,590 คน ( ข้อมูล ณ วันที่ 10 ตุลาคม 2561 ) มีจำนวนครัวเรือนทั้งหมด 2,389 ครัวเรือน ( ข้อมูล ณ วันที่ เดือนกันยายน 2561 )
ข้อมูลหน่วยงาน
ข้อมูลทั่วไปของหน่วยงาน/1

สภาพเศรษฐกิจ ประชาชนในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลแช่ช้าง ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพ เกษตรกรรม เช่น ปลูกข้าว ทำไร่ยาสูบ ทำสวน พืชผัก กระเทียม พริกขี้หนู แตงโม แตงไทย แตงกวา ฯลฯ นอกจากการเพาะปลูกพืชแล้ว ยังทำการเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ โคนม ควบคู่กับการรับจ้างภายในตำบล และรับจ้างในโรงงานอุตสาหกรรม สถานประกอบการด้านอุตสาหกรรม 1. สถานประกอบการด้านอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ จำนวน 4 แห่ง 2. สถานประกอบการขนาดกลาง จำนวน 8 แห่ง 3. โรงงานอุตสาหกรรมขนาดเล็ก จำนวน 5 แห่ง สถานประกอบการด้านการบริการ 1. ปั๊มน้ำมัน จำนวน 1 แห่ง 2. ปั๊มน้ำมันหลอด จำนวน 3 แห่ง 3. หอพัก จำนวน 5 แห่ง 4. สถานที่จำหน่ายอาหารและร้านอาหาร จำนวน 3 แห่ง 5. ร้านค้า จำนวน 29 แห่ง 6. โรงสีข้าว จำนวน 3 แห่ง 7. โรงงานบรรจุแก๊ส จำนวน 2 แห่ง 8. ร้านเสริมสวย จำนวน 3 แห่ง สภาพทางสังคม ด้านการศึกษา ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จำนวน 1 แห่ง คือ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านป่าเปา มีนักเรียนจำนวน 43 คน และมีครู จำนวน 3 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 มีโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเขต 1 เชียงใหม่ จำนวน 1 แห่ง คือ โรงเรียนวัดดอนปีน โดยมีการจัดการเรียนการสอนในระบบรวมศูนย์โรงเรียนที่โรงเรียนบ้าน แช่ช้าง ซึ่งเป็นโรงเรียนในเขตเทศบาลตำบลสันกำแพง มีศูนย์เรียนรู้ชุมชนตำบลแช่ช้าง จำนวน 1 แห่ง และมีที่อ่านหนังสือพิมพ์ประจำหมู่บ้าน จำนวน 8 แห่ง สถาบันและองค์กรทางศาสนา วัด จำนวน 4 แห่ง และ โบสถ์ จำนวน 1 แห่ง ด้านสาธารณสุข โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล มีจำนวน 1 แห่ง ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 1 บ้านดอยยาว ตำบลแช่ช้าง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุข จำนวน 5 คน แยกเป็น ชาย 2 คน และหญิง 3 คน การบริการพื้นฐาน การคมนาคมและขนส่ง การคมนาคมในตำบลแช่ช้าง มีเส้นทางหลัก 3 สาย ประกอบด้วยท สายเชียงใหม่ - แม่ออน เป็นถนนลาดยางแอสฟัลต์ , สายสันกำแพง - บ้านธิ เป็นถนนลาดยางแอสฟัลต์ และสายแช่ช้าง - ร้องก่องข้าว เป็นถนนลาดยางแอสฟัลต์ การเดินทางเข้าสู่ตำบล ถนนสายเชียงใหม่ – แม่ออน เริ่มจากสี่แยกดอนจั่น มาตามเส้นทางถึงสี่แยกบ้านดอยยาว ประมาณ 16 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายตามถนนบ้านธิ - สันกำแพง ประมาณ 1 กิโลเมตร และเลี้ยวขวาเข้าบ้านป่าเปา เป็นระยะทาง 1.5 กิโลเมตร ***************************
ข้อมูลประชากร

รอปรับปรุง
ข้อมูลทั่วไปของหน่วยงาน

ประวัติความเป็นมาของตำบลแช่ช้าง นานมาแล้วมีพ่อค้าไม้ได้นำไม้สักล่องซุงมาตามน้ำแม่ออน ผ่านมาถึงหมู่บ้านหนึ่ง และมาอยู่ที่หมู่บ้านนี้ พ่อค้าไม้ได้นำช้างจำนวนมากมาชักลากไม้สักที่บริเวณดังกล่าวนี้ และสองฝั่งลำน้ำบริเวณนี้มีต้นไผ่ปลูกเรียงราย เต็มไปหมดสองฝั่งออน ช้างที่ลากซุงได้นอนแช่น้ำและกินต้นไผ่เป็นอาหารอย่างมีความสุข ชาวบ้านผ่านไปพบเห็นทุก ๆ วัน จึงได้ขนานนามเรียก "แช่ช้าง" จนถึงปัจจุบัน อาณาเขต ลักษณะภูมิประเทศขององค์การบริหารส่วนตำบลแช่ช้าง เป็นพื้นที่ราบลุ่มด้านทิศใต้ของแม่น้ำแม่ออน และมีคลองชลประทานตัดผ่านในเขตพื้นที่ 2 สาย จึงทำให้มีน้ำใช้พอสมควร สภาพดินฟ้าอากาศทั่วไปอยู่ในเกณฑ์ปกติ มีแหล่งน้ำทางการเกษตรที่สำคัญ ประกอบด้วย ชลประทานแม่กวง และน้ำแม่ออน มีอาณาเขตติดต่อ ทิศเหนือ ติดต่อกับ เทศบาลตำบลสันกำแพง ตำบลทรายมูล และ ตำบลร้องวัวแดง อำเภอสันกำแพง โดยใช้ลำน้ำแม่ออนเป็นแนวแบ่งเขต ทิศใต้ ติดต่อกับ ตำบลห้วยยาบ กิ่งอำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน โดยใช้เหมืองฮ่องอีแจ้เป็นแนวแบ่งเขต ทิศตะวันออก ติดต่อกับ ตำบลออนใต้ อำเภอสันกำแพง โดยใช้เหมืองลึกเป็นแนวแบ่งเขต และทิศตะวันตก ติดต่อกับ ตำบลบวกค้าง อำเภอสันกำแพง โดยใช้แนวคันนาเป็นแนวแบ่งเขต เขตการปกครอง ตำบลแช่ช้าง แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 10 หมู่บ้าน ประกอบด้วย หมู่ที่ 1 บ้านดอยยาว , หมู่ที่ 2 บ้านม่วงชุม , หมู่ที่ 3 บ้านป่าเปา , หมู่ที่ 4 บ้านดงขี้เหล็ก , หมู่ที่ 5 บ้านดอนปีน , หมู่ที่ 6 บ้านป่าไผ่เหนือ , หมู่ที่ 7 บ้านป่าไผ่กลาง , หมู่ที่ 8 บ้านป่าไผ่ใต้ , หมู่ที่ 9 บ้านหัวฝาย และหมู่ที่ 10 บ้านแม่ซ้อ - โค้งงาม จำนวนหมู่บ้านที่อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบขององค์การบริหารส่วนตำบลแช่ช้าง จำนวน 8 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ที่ 1 บ้านดอยยาว , หมู่ที่ 2 บ้านม่วงชุม , หมู่ที่ 3 บ้านป่าเปา , หมู่ที่ 4 บ้านดงขี้เหล็ก , หมู่ที่ 5 บ้านดอนปีน , หมู่ที่ 6 บ้านป่าไผ่เหนือ อยู่ในเขตเทศบาลตำบลสันกำแพงประมาณ 78% อยู่ในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลแช่ช้าง บางส่วนอีก 22% , หมู่ที่ 8 บ้านป่าไผ่ใต้ พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในเขตเทศบาล พื้นที่ส่วนที่อยู่ อบต. ไม่มีจำนวนประชากร , หมู่ที่ 9 บ้านหัวฝาย และหมู่ที่ 10 บ้านแม่ซ้อ - โค้งงาม ประชากร ประชาชนของตำบลแช่ช้างส่วนใหญ่เป็นไทยเมือง , ไทยยอง ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ จำนวนประชากรทั้งสิ้น 4,994 คน แยกเป็นชาย 2,404 คน หญิง 2,590 คน ( ข้อมูล ณ วันที่ 10 ตุลาคม 2561 ) มีจำนวนครัวเรือนทั้งหมด 2,389 ครัวเรือน ( ข้อมูล ณ วันที่ เดือนกันยายน 2561 )
home ยุทธศาสตร์-วิสัยทัศน์-และพันธกิจ
ยุทธศาสตร์ วิสัยทัศน์ และพันธกิจ
1. วิสัยทัศน์ในการพัฒนาท้องถิ่น “คุณภาพชีวิตดี เศรษฐกิจดี มีความรู้ที่ทันสมัย ใส่ใจวัฒนธรรมประเพณีและสิ่งแวดล้อม บริหารงานตามหลักธรรมาภิบาล” 2. พันธกิจการพัฒนาท้องถิ่น 1 . จัดให้มีและบำรุงรักษาด้านโครงสร้างพื้นฐาน 2. บำรุงส่งเสริมการประกอบอาชีพของประชาชน 3 . ส่งเสริมการศึกษาพัฒนาศักยภาพ 4. อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อ 5 ส่งเสริมสุขภาพประชาชน 6 . อนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีที่ดีงาม 7. พัฒนา อบต.ให้เป็นที่มีการบริหารจัดการที่ดีตามหลักธรรมาภิบาล 3. จุดมุ่งหมายเพื่อการพัฒนา 1. การคมนาคมมีความสะดวกรวดเร็ว 2. ประชาชนมีอาชีพ และมีรายได้พอเพียง 3. เด็ก เยาวชน ได้รับการศึกษา มีช่องทางในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ทันสมัยเพิ่มมากขึ้น 4 . สิ่งแวดล้อมไม่เป็นมลภาวะ 5. ประชาชนมีสุขภาพกายและใจที่ดี 6. ประเพณีวัฒนธรรมได้รับการส่งเสริมและอนุรักษ์ไว้ 7. อบต.แช่ช้าง มีการบริหารจัดการที่ดีตามหลักธรรมาภิบาล ยุทธศาสตร์การพัฒนาสามปีขององค์การบริหารส่วนตำบลแช่ช้าง ประเด็นยุทธศาสตร์ 1. ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พันธกิจ จัดให้มีและบำรุงรักษาด้านโครงสร้างพื้นฐาน เป้าประสงค์ การคมนาคมมีความสะดวกรวดเร็ว ตัวชี้วัดระดับเป้าประสงค์ ประชาชนมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี อย่างน้อย ร้อยละ 90 2. ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง พันธกิจ อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป้าประสงค์ ประชาชนมีอาชีพ และมีรายได้พอเพียง ตัวชี้วัดระดับเป้าประสงค์ ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอยู่ในสภาพที่ดี อย่างน้อยร้อยละ90 3. ยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม พันธกิจ อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป้าประสงค์ สิ่งแวดล้อมไม่เป็นมลภาวะ ตัวชี้วัดระดับเป้าประสงค์ ชุมชนมีจิตสำนึกและมีส่วนร่วมในการปฏิบัติ เพื่อป้องกันและแก้ไขสิ่งแวดล้อม 4. ยุทธศาสตร์การด้านการอนุรักษ์ ฟื้นฟูและสืบสาน ศิลปวัฒนธรรม จารีตประเพณีและภูมิปัญญาท้องถิ่น พันธกิจ อนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีที่ดีงาม เป้าประสงค์ ประเพณีวัฒนธรรมได้รับการส่งเสริมและอนุรักษ์ไว้ ตัวชี้วัดระดับเป้าประสงค์ ประชาชนให้ความสำคัญกับการปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนา ร่วมอนุรักษ์ประเพณีที่ดีงามของท้องถิ่นเพิ่มขึ้น อย่างน้อยร้อยละ 90 5. ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาการศึกษา สาธารณสุข และคุณภาพชีวิต พันธกิจ 1. ส่งเสริมสุขภาพประชาชน 2. ส่งเสริมการศึกษาพัฒนาศักยภาพ เป้าประสงค์ 1. ประชาชนมีสุขภาพกายและใจที่ดี 2. เด็กเยาวชนได้รับการศึกษามีช่องทางในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ทันสมัยเพิ่มมากขึ้น ตัวชี้วัดระดับเป้าประสงค์ ผู้ใช้บริการมีความพึงพอใจมากยิ่งขึ้น อย่างน้อย ร้อยละ90 6. ยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันบรรเทาสาธารณภัยและการรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยในชุมชน พันธกิจ 1. ส่งเสริมสุขภาพประชาชน 2. ส่งเสริมการศึกษาพัฒนาศักยภาพ เป้าประสงค์ 1. ประชาชนมีสุขภาพกายและใจที่ดี 2. เด็กเยาวชนได้รับการศึกษามีช่องทางในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ทันสมัยเพิ่มมากขึ้น ตัวชี้วัดระดับเป้าประสงค์ ผู้ใช้บริการมีความพึงพอใจมากยิ่งขึ้น อย่างน้อย ร้อยละ90 7. ยุทธศาสตร์ด้านการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พันธกิจ พัฒนา อบต.ให้เป็นที่มีการบริหารจัดการที่ดีตามหลักธรรมาภิบาล เป้าประสงค์ อบต.แช่ช้าง มีการบริหารจัดการที่ดีตามหลักธรรมาภิบาล ตัวชี้วัดระดับเป้าประสงค์ การบริหารงานของ อบต.มีความประสิทธิภาพ โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้

กลยุทธ์/แนวทางการพัฒนา และตัวชี้วัดระดับกลยุทธ์ 1 - 7








place สถานที่ท่องเที่ยว
ประวัติพระธาตุดอยงู“พระธาตุดอยงู” ตั้งอยู่หมู่ที่ ๒ ตำบลแช่ช้าง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ สำหรับประวัติของพระธาตุดอยงูนี้ ขอแยกบอกเล่าเป็น ๒ ตอน คือ ตอนที่ ๑ จากการค้นพบในตำนาน “คัมภีร์ใบลาน” ซึ่งได้เขียนเป็นภาษาล้านนา (ตั๋วเมือง) โดยพระอธิการ สุรินโท อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าเปา ต.แช่ช้าง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ในคัมภีร์ใบลาน ระบุไว้ว่าเขียนเสร็จเมื่อวันที่ ๑๐ เดือน กันยายน พ.ศ.๒๔๘๓ ตรงกับวันอังคาร แรม ๙ ค่ำ เดือน ๑๒ เหนือ ปีมะโรง จ.ศ.๑๓๐๒ ซึ่งคัมภีร์มีอยู่ที่วัดป่าเปา สามารถหาอ่านดูได้ฯ ตอนที่ ๒ เป็นการเล่าถึงการพัฒนาตอนหลังที่พอจะค้นคว้าหาได้ยัง หลักฐานที่มาเล่าได้ เมื่อก่อนหน้านี้ไม่อาจจะเล่าได้ เพราะคงจะมีการบูรณะปฏิสังขรณ์ ต่อเนื่องมาโดยตลอด จึงจะขอเล่าแต่เฉพาะหลักฐานที่พอจะหาได้เท่านั้น เชิญติดตามรายละเอียดได้ ดังต่อไปนี้ฯลฯ ตอนที่ ๑ (เนื้อหาจากคัมภีร์ใบลาน) ตามกาลตำนาน เล่าว่าดอยงูนี้มีสถานที่ชื่อเดิม เรียกว่า “ม่อนศิลา” แต่เดิมมาเป็นด่าดงไพรที่หนาแน่นไปด้วย ต้นไม้ใหญ่ – น้อย หลายพันธุ์ ชนิดมีอยู่มากมาย ในอดีตกาลนานมาแล้ว ในสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่า “พระนาคมนะ” ได้เสด็จป่านมาถึงที่นี้ และได้แสดงพระธรรมเทศนาโปรดแก่ “พญานาคราช องค์ใหญ่ พร้อมด้วยเทพบุตร – เทพธิดา ใหญ่น้อยทั้งหลาย” ในขณะที่พระองค์ได้เสด็จมาประทับที่ “พระธาตุดอยงู” หรือม่อนศิลา ใกล้ลำน้ำแม่ออน โดยประทับอยู่ที่นี่เป็นเวลา ๓ วัน และมีนกยูงทองมาเต้นลำแพนปีกถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระองค์ แล้วทูลให้พระองค์ได้โปรดสัตว์ทั้งหลาย โดยเฉพาะเกี่ยวกับที่พักอาศัยของสรรพสัตว์ใหญ่ – น้อย ทั้งหลายที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ พระองค์จึงทรงเนรมิตถ้ำหลวงให้เป็นโพรงใหญ่สำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของหมู่สัตว์ป่า มีเป็นต้นว่า เสือ,สิงห์,กวาง และหมู่ฝูงวัวแดงฝูงใหญ่อาศัยอยู่ บรรดาสัตว์ทั้งหลายพอถึงเวลารุ่งเช้าต่างก็ออกไปหากินตามประสา พอตกเย็นก็กลับมาพักอาศัยอยู่ในถ้ำหลวงเป็นประจำทุกๆวัน มีอยู่วันหนึ่งฝูงหมู่วัวแดงได้ออกไปหากินตามปกติ สถานที่หากินเป็นประจำที่ร้องวัวแดง ซึ่งเป็นสถานที่ที่อุดมสมบูรณ์ได้ด้วยหญ้าและแขมอ่อนเขียวขจี ตอนขากลับมีนายพรานป่าคนหนึ่งได้ทำห้างร้าน เพื่อรอดักยิงฝูงวัวแดง พอจ่าฝูงเห็นนายพรานจึงบอกสัญญาณให้บริวารหยุด แล้วสอนคาถาให้บริวารทุกตัวท่องด้วยคำว่า นญฺจโห พทฺโธ พทฺธํ สรณํ อิติ พอวัวแดงทุกตัวกล่าวคาถานี้จบ ลูกธนูของนายพรานที่ยิงออกไปจึงไม่ถูกฝูงวัวแดงแม้แต่ตัวเดียว น่าอัศจรรย์มากไม่ถูกแม้กระทั่งต้นไม้ใหญ่ – น้อย ทั้งหลายโดยลูกธนูวิ่งลัดเลาะเข้าป่าลึกหายไปเหมือนมีชีวิตจิตใจ ทางด้านนายพรานเมื่อยิงไม่ถูกวัวสักตัวก็โมโหมากจึงถือธนูถูกับก้อนหินใหญ่ จนธนูแตกหักใช้การไม้ได้ ส่วนลูกธนูที่เหลือก็นำไปทุบกับต้นไม้จนย่อยยับหักไป และถุงสะพายที่ใส่ลูกธนูได้นำไปเผาไฟทิ้งเสียจนหมด พอได้สติขึ้นมาก็นั่งสงบสติอารมณ์สักพักใหญ่ พร้อมได้ระลึกนึกถึง บาป,บุญ,คุณ,โทษ ที่ได้ทำมาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นายพรานก็เลิกจากอาชีพพรานป่า แล้วหันมานับถือพระรัตนไตรเป็นที่พึ่งพร้อมด้วย พรหมวิหาร ๔ ถือศีล ๕ ศีล ๘ ตามลำดับ พระพุทธองค์เล่าจบ โปรดพระธรรมเทศนาจบแล้ว จึงถอด พระเกศา (เส้นผม) ไว้ให้พญานาคราชผู้เป็นใหญ่ที่ดูแลถ้ำแห่งนี้ เพื่อเป็นที่สักการะบูชาของพญานาคราช พญานาคราชจึงได้นำเอาขวดผาพร้อมลูกแก้วงามใสใส่รวมกับพระเกศา บรรจุไว้ในดอยลูกนี้ แล้วใส่ชื่อว่า “ม่อนศิลา” ดังนี้ฯ ต่อจากนั้นพระองค์ได้เสด็จไปที่ดอยผาตั้ง (ดอยยาว) และได้พบกับพระฤาษีตนหนึ่ง บำเพ็ญภาวนาที่นั่นจึงตั้งชื่อว่า ม่อนฤาษี พระฤาษีได้นำเอาคัณโฑน้ำมาถายแด่พระพุทธองค์ เมื่อพระพุทธองค์ฉันน้ำเสร็จแล้วได้ถอดพะเกศาให้ไว้เพื่อเป็นที่สักการะบูชา ต่อจากนั้นได้เสด็จไปถึงสระน้ำใหญ่ ชื่อว่า หนองขี้หม่า (ปัจจุบันชื่อหนองพระยาพรหม) แล้วทรงทำนายว่าอีกไม่นานในอนาคตจะมีผู้คนมาอาศัยอยู่มากมาย แล้วจึงเสด็จต่อไปจนถึงดอยง้มแม่ลาน เพื่อไปโปรด (ขุนธรรมิลัง) ผู้อยู่รักษาดอยง้ม ขุนธรรมิลังได้เตรียมจัดสถานที่ พร้อมกับบุตรและธิดา เพื่อต้อนรับพระพุทธองค์ด้วยปูลาดทำเป็นอาสนะ ในถ้ำแห่งนั้นแล้วถวายมธุบุปผาและอาหารพร้อมทั้งบุตร – ธิดา ก็พากันมาทำประทักษิณรอบพระองค์ ๓ รอบ พระองค์ถอด พระเกศา ไว้ในถ้ำเพื่อเป็นที่สักการะบูชา เพื่อเป็นบุญกุศลแก่ผู้ที่ได้สักการะเคารพบูชาต่อไป พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า พระธาตุทั้ง ๓ แห่ง นั้คือ (ดอยงู) ม่อนผาตั้ง หรือม่อนฤาษี คือ (ดอยยาว) ม่อนดอยง้มหลวง คือ (ดอยง้ม) พอถึงเวลาเดือน ๙ เหนือขึ้น ๑๕ ค่ำให้พร้อมกันฟังเทศน์,บำเพ็ญ,สมาธิ,ภาวนา และสักการะบูชายังพระเกศาธาตุ เพื่อให้เกิดความเป็นบุญบารมี เป็นสิริมงคลแก่พุทธบริษัทโดยทั่วหน้า พร้อมทั้งให้ภาวนายัง พุทธานุสสติ ,ธัมมานุสติ,สังฆานุสสติ และอารัมมณานุสสติ ก็จักเป็นบุญกุศลหาที่สุดมิได้ นอกจากนั้น พระพุทธองค์ยังได้สอนให้ทุกๆคน ละทิ้งความชั่ว ทำแต่ความดี ทำจิตให้ผ่องใส “ละชั่ว ทำดี จิตใจ” สร้างสมบารมี เพื่อให้มีความเจริญก้าวหน้า และเป็นกำลังสำคัญในการส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้วัฒนาสถาพรสืบไปฯ ตอนที่ ๒ สำหรับตอนที่ ๒ นี้ เป็นการเล่าถึงการบูรณะปฏิสังขรณ์ในตอนหลังนี้ เท่าที่รวบรวมได้จากเอกสารหลักฐานที่จะพอจะหาได้ช่วงที่ขาดหายไประหว่างตอนที่ ๑ และตอนที่ ๒ นั้น สันนิษฐานว่า คงจะมีการปรับปรุงพัฒนามาโดยตลอด ซึ่งไม่อาจจะหาข้อเท็จจริงได้ จึงขอเล่าเฉพาะที่หาหลักฐานว่าคงจะมีการปรับในปัจจุบันเท่านั้น ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้ พ.ศ. ๒๔๖๘ ได้มีพระอธิการแสง สุรินโท เจ้าอาวาสวัดป่าเปาร่วมกับ “ขุนคชสนานคามรักษ์” ตำแหน่งกำนัน ตำบลแช่ช้าง และผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๓ คือ นายหม่อง นางก๋อง สุทธสม ได้ร่วมกันขุดบ่อน้ำและสร้างศาลาที่พัก ๑ หลัง พร้อมทั้งได้ร่วมกับคณะศรัทธาป่าเปาช่วยกันถากถางทำทางขึ้นจนถึงยอดดอยงู (คำว่า “ดอยงู” คงจะมาจาก งูใหญ่ ตามตำนานเล่าขานว่าพญานาคราชก็หมายถึงงูใหญ่ นั่นเอง) พ.ศ. ๒๕๒๐ ทางผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๒ (ม่วงชุม) คือ นายเงา ตันปัญญา ได้นำราษฏร ทั้งหมู่ ๒ และหมู่ที่ ๓ ซึ่งเป็นคณะศรัทธาวัดป่าเปาได้ร่วมกันทำถนน โดยขอความร่วมมือจากเจ้าของที่ดินหลายท่านในการทำถนนครั้งนี้ ชาวบ้านช่วยกันทำโดยใช้จอบ (ขอบ๊ก) ช่วยกันทำและปรับแต่งแนวถนน เพื่อจะให้รถยนต์วิ่งได้โดยสะดวก ใช้งบประมาณ ๗.๐๐๐ บาท (เจ็ดพันบาท) เท่านั้นได้ระยะทางประมาณ ๑,๕๐๐ เมตร (หนึ่งพันห้าร้อยเมตร) พ.ศ.๒๕๓๒ ผู้มีจิตศรัทธาได้นำพระพุทธรูปทองคำสัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง ๑.๕๐ เมตร มาถวายเพื่อเป็นพระประธาน คือ คุณไพโรจน์ อ่วมใจหนัก จากกรุงเทพมหานคร โดยการแนะนำของกำนัลอนิรุทธิ์ นางจรัศ อารยรุ่งโรจน์ (แก้วน้อย) นอกจากถวายพระประธานแล้วนำพระประธานขึ้นประดิษฐานพร้อมกับงูทองเหลืองอีก ๒ ตัว เพื่อไว้เป็นที่สักการะตามชื่อของ “ดอยงู” สืบๆมาในการนำพระประธานขึ้นประดิษฐานไว้บนดอยงูครั้งนี้ เนื่องจากยังไม่มีถนนขึ้นบนยอดดอย จึงใช้วิธีขอความร่วมไม้ร่วมมือ ขอแรงสามัคคีจากคณะศรัทธาวัดป่าเปา ช่วยกันใช้สายผูกเชือกมัด แล้วรองด้วยยางรถยนต์ขนาดใหญ่แล้วออกแรงชักลากทีละน้อย ใช้เวลาพอสมควร จากเชิงดอยข้างล่างจนถึงยอดดอยด้วยความยากลำบาก จนสำเร็จได้ ด้วยพลังความสามารถความสามัคคี พ.ศ. ๒๕๓๗ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ ๒ พ่อหลวงอุม ปาลี และผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ ๓ พ่อหลวงบุญมี สุรินต๊ะ ช่วยกันทำโครงการตัดถนนและเทคอนกรีตเสริมไม้ไผ่เป็นระยะทาง ๓๐๐ เมตร พ.ศ. ๒๕๕๒ วันที่ ๑๓ สิงหาคม ได้มี คุณอายุธ นาครทรรพ จากกรุงเทพมหานครได้ แสดงความจำนง จำเอาพระพุทธรูป ปางประทับยืนนาคปรก สูง ๓.๙๐ เมตร มาตั้งประดิษฐานไว้บนดอยงู ก่อนจะนำพระพุทธรูปมาไว้ได้ให้ช่วงมาปิดทอง (จังโก) รอบองค์พระเจดีย์ธาตุเหลืองงามตามใช้งบประมาณ ๒๔๘,๐๐๐ (สองแสนสี่หมื่นแปดพันบาทถ้วน) จนเรียบร้อยถึงทุกวันนี้ฯ เท่าที่เคยได้ยินผู้เฒ่า,ผู้แก่,ผู้สูงอายุเล่าขานว่า แต่เดิมทีเคยเห็นปากถ้ำอยู่ทางทิศเหนือของดอยงู และมีต้นไม้ “ตะเคียนคู่” สูงใหญ่มากอยู่ใกล้ๆปากถ้ำ ปัจจุบันนี้ทั้งต้นไม้ตะเคียน และถ้ำมีเพียงร่องรอยเท่านั้นส่วนปากถ้ำก็มีหินใหญ่ ๒ ก้อนปิดทับไว้ โดยมีพระศรีมหาโพธิ์ แซกออกตรงกลางหว่างหินดูน่าอัศจรรย์ยิ่ง ส่วนต้นไม้ตะเคียนคู่ได้แห้งตายลง ทางคณะศรัทธาวัดป่าเปาทุกท่านเห้นพ้องต้องกันตกลงในที่ประชุมใหญ่ ได้ให้ช่างไม้เลื่อยทำเป็นแผ่น เพื่อนำมาใช้ก่อสร้างศาสนาวัตถุในวัดต่อไป นอกจากนี้แล้ว ผู้สูงอายุยังเล่าขานต่อไปว่า “เคยเห็นแสงพระธาต” ลอยจากดอยงูมาที่วัดป่าเปาเสร็จแล้วกลับลอยไปที่ดอยงูเหมือนเดิม ตรงกับคืนวันพระที่สำคัญๆ ในทางพระพุทธศาสนา (ศีลใหญ่ – ศีลสำคัญ) เช่น วันมาฆบูชา,วันวิสาขบูชา เป็นต้น เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่า “ดอยงูเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์” น่าเคารพสักการะและบูชาอย่างยิ่ง จึงขอเชิญชวนทุกท่าน ไปเคารพสักการะบูชา เพื่อให้เกิดศิริมงคลแก่ชีวิตและครอบครัวสืบต่อไปฯ คำกลอน ตามตำนาน ผ่านมา น่าคิดอยู่ เรื่องดอยงู เข้าที มีแก่นสาร ท่านพากเพียร เขียนไว้ ในใบลาน เป็นตำนาน น่าเคารพ นบบูชา เท่าที่เห็น เป็นของดี ที่ศักดิ์สิทธิ์ รวมความคิด รวมจิตใจ ได้แน่นหนา ไม่เคยละ ประเพณี มีเรื่อยมา มวลศรัทธา วัดป่าเปา เราภูมิใจ ขอเชิญชวน มิตรแท้ ทุกทิศา สร้างศรัทธา ร่วมกัน อย่าหวั่นไหว เพิ่มบุญญา บารมี ที่เกรียงไกร เพื่อจะได้ ก้าวหน้า สถาพร ขออ้างอิง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์กล้า ม่อนศิลา หรือดอยงู สู่สิงขร โปรดมาช่วย อวยชัย ให้แน่นอน ดับทุกข์ร้อน ให้ร่วมเย็น เป็นสุขเอย......... ตำนาน พระมหาอุปคตเถรเจ้า (“ปราบมาร”) “พระมหาอุปคตเจ้า” เป็นพระอรหันต์ที่มีฤทธิ์อำนาจในทางปราบมาร , บันดาลโชค นามของพระอุปคุต แปลว่า “ผู้ที่คุ้มครองรักษา” พระมหาอุปคุตท่านชอบความวิเวก ท่านจึงเข้านิโรธสมาบัติจำพรรษาอยู่ในกุฏิเรือนแก้วกลางสะดือทะเล พระมหาอุปคุตเจ้าเป็นพระอรหันต์ที่ทรงมหิทธานุภาพมากเป็นศิษย์ของ “พระมหากัสสปะ” พระมหาอุปคุตเจ้าเกิดในตระกูล พ่อค้าขายเครื่องหอม อยู่ที่เมือง มถุรา แคว้นสุรเสนะบนฝั่งแม่น้ำ ยมุนา ตอนนั้น อุปคุตได้มาช่วยบิดาขายเครื่องหอมอยู่ที่ตลาดก็ปรากฏว่า เครื่องหอมขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ผู้คนมาซื้อหากันไม่ขาดสาย นี่เป็นปกติธรรมดาของผู้ที่มีบุญ ไปที่ไหนทรัพย์สินก็จะหลั่งไหลมาด้วยอำนาจบุญ เพราะฉะนั้นจึงมาความเชื่อกันว่า ผู้ที่ทำการค้าขายหากมีพระมหาอุปคุตเถรเจ้าไว้บูชาประจำร้านค้า และบูชาทุกเช้าตอนเปิดร้านก้จะทำให้ค้าขายดี มีคนมาซื้อไม่ขาดสาย ทรัพย์สินก็จะหลั่งไหลมา ก่อการเจริญก้าวหน้าเป็นปึกแผ่นมั่นคงตลอดไปฯ ส่วนการปราบมาร ของพระมหาอุปคุตเถรเจ้านั้น ครั้งเมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชทรงนับถือ พระพุทธศาสนาทรางได้สร้างพระวิหาร และพระสถูปบรรจุพรมสารีริกธาตุแล้วเสร็จ ได้มีการสมโภชน์ครั้งใหญ่ตลอด ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน แล้วได้นิมนต์พระมหาอุปคุตเถรเจ้ามาคุ้มครองงานให้ปราศจากอุปสรรค ครั้งนั้น “พญามารรสวดีมาร” ได้มุ่งทำลายงานสมโภชน์ พระมหาอุปคตเถรเจ้าได้ปราบมารจนสิ้นฤทธิ์ และอธิฐานประคตเอว เป็นโซ่มัดพญามารรสวดีติดกับภูเขาไว้จนทำให้งานสำเร็จด้วยดี ด้วยปฏิหารปรากฏครั้งว่า ผู้ที่มีพระมหาอุปคตเถรเจ้าบูชาอยู่กับตัว จะแคล้วคลาด , ปลอดภัย , คงกระพันชาตรี , มหาอุด , และโชคลาภ , เมตตามหานิยม จึงทำให้มีผู้แสวงหา พระมหาอุปคุตเถรเจ้ามาสักการะบูชากันอย่างแพร่หลาย ปัจจุบัน ยังมีความเชื่อว่า พระมหาอุปคุตเถรเจ้ายังมีชีวิตอยู่ในทุกวันเพ็ญ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ตรงกับวันพุธ (เป็งพุธ) ชาวบ้านล้านนาเรียกว่า “วันเป็งพุธ” พระมหาอุปคตเจ้า จะออกบิณฑบาตรเวลากลางคืน ทำให้เกิดเป็นประเพณีตักบาตรกลางคืนขึ้น ด้วยข้าวสาร , อาหารแห้ง , ดอกไม้ธูปเทียน เชื่อว่าผู้ใดใส่บาตรพระอรหันต์ แห่งการปกครอง พร้อมทั้งได้ปราบมารบันดาลโชค ได้คัดสารพิมพ์ที่สวยงาม โดยมีลักษณะพิเศษรุ่งเรือง ร่างนี้คือ ลักษณะของปรางค์นี้ มือขวาได้ล้วงลงหยิบข้าวในบาตรเพื่อจะฉัน อันเป็นนิมิตหมายให้แก่ผู้ที่บูชา มีความอุดมสมบูรณ์ , มีกิน , มีใช้ตลอดกาล ฐานองค์พระได้จำลองขณะที่ท่านจำพรรษาใต้กลางสะดือทะเลมหาสมุทร ประกอบด้วย “ดอกบัว” หมายถึง ความสดชื่นแจ่มใสเบอกบานงอกงามแห่งชีวติ “รูปเต่า” คือ อายุ หมายถึง ความมีอายุยืนนาน “รูปปู” คือ วรรณะ หมายถึง ผิวพรรณผ่องใสสวยงามเหมือนกับมันปู “รูปปลา” คือ สุขะ หมายถึง ความสุขตัวปลาที่สามารถแหวกว่ายได้อย่างอิสระ รูปหอย คือ พละ หมายถึง มีพละกำลังดังหอยที่สามารถขึ้นสูงที่สุด ??
วัดพระธาตุดอยงูรอปรับปรุง
สถานที่ท่องเที่ยว
ประวัติพระธาตุดอยงู

“พระธาตุดอยงู” ตั้งอยู่หมู่ที่ ๒ ตำบลแช่ช้าง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ สำหรับประวัติของพระธาตุดอยงูนี้ ขอแยกบอกเล่าเป็น ๒ ตอน คือ ตอนที่ ๑ จากการค้นพบในตำนาน “คัมภีร์ใบลาน” ซึ่งได้เขียนเป็นภาษาล้านนา (ตั๋วเมือง) โดยพระอธิการ สุรินโท อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าเปา ต.แช่ช้าง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ในคัมภีร์ใบลาน ระบุไว้ว่าเขียนเสร็จเมื่อวันที่ ๑๐ เดือน กันยายน พ.ศ.๒๔๘๓ ตรงกับวันอังคาร แรม ๙ ค่ำ เดือน ๑๒ เหนือ ปีมะโรง จ.ศ.๑๓๐๒ ซึ่งคัมภีร์มีอยู่ที่วัดป่าเปา สามารถหาอ่านดูได้ฯ ตอนที่ ๒ เป็นการเล่าถึงการพัฒนาตอนหลังที่พอจะค้นคว้าหาได้ยัง หลักฐานที่มาเล่าได้ เมื่อก่อนหน้านี้ไม่อาจจะเล่าได้ เพราะคงจะมีการบูรณะปฏิสังขรณ์ ต่อเนื่องมาโดยตลอด จึงจะขอเล่าแต่เฉพาะหลักฐานที่พอจะหาได้เท่านั้น เชิญติดตามรายละเอียดได้ ดังต่อไปนี้ฯลฯ ตอนที่ ๑ (เนื้อหาจากคัมภีร์ใบลาน) ตามกาลตำนาน เล่าว่าดอยงูนี้มีสถานที่ชื่อเดิม เรียกว่า “ม่อนศิลา” แต่เดิมมาเป็นด่าดงไพรที่หนาแน่นไปด้วย ต้นไม้ใหญ่ – น้อย หลายพันธุ์ ชนิดมีอยู่มากมาย ในอดีตกาลนานมาแล้ว ในสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่า “พระนาคมนะ” ได้เสด็จป่านมาถึงที่นี้ และได้แสดงพระธรรมเทศนาโปรดแก่ “พญานาคราช องค์ใหญ่ พร้อมด้วยเทพบุตร – เทพธิดา ใหญ่น้อยทั้งหลาย” ในขณะที่พระองค์ได้เสด็จมาประทับที่ “พระธาตุดอยงู” หรือม่อนศิลา ใกล้ลำน้ำแม่ออน โดยประทับอยู่ที่นี่เป็นเวลา ๓ วัน และมีนกยูงทองมาเต้นลำแพนปีกถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระองค์ แล้วทูลให้พระองค์ได้โปรดสัตว์ทั้งหลาย โดยเฉพาะเกี่ยวกับที่พักอาศัยของสรรพสัตว์ใหญ่ – น้อย ทั้งหลายที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ พระองค์จึงทรงเนรมิตถ้ำหลวงให้เป็นโพรงใหญ่สำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของหมู่สัตว์ป่า มีเป็นต้นว่า เสือ,สิงห์,กวาง และหมู่ฝูงวัวแดงฝูงใหญ่อาศัยอยู่ บรรดาสัตว์ทั้งหลายพอถึงเวลารุ่งเช้าต่างก็ออกไปหากินตามประสา พอตกเย็นก็กลับมาพักอาศัยอยู่ในถ้ำหลวงเป็นประจำทุกๆวัน มีอยู่วันหนึ่งฝูงหมู่วัวแดงได้ออกไปหากินตามปกติ สถานที่หากินเป็นประจำที่ร้องวัวแดง ซึ่งเป็นสถานที่ที่อุดมสมบูรณ์ได้ด้วยหญ้าและแขมอ่อนเขียวขจี ตอนขากลับมีนายพรานป่าคนหนึ่งได้ทำห้างร้าน เพื่อรอดักยิงฝูงวัวแดง พอจ่าฝูงเห็นนายพรานจึงบอกสัญญาณให้บริวารหยุด แล้วสอนคาถาให้บริวารทุกตัวท่องด้วยคำว่า นญฺจโห พทฺโธ พทฺธํ สรณํ อิติ พอวัวแดงทุกตัวกล่าวคาถานี้จบ ลูกธนูของนายพรานที่ยิงออกไปจึงไม่ถูกฝูงวัวแดงแม้แต่ตัวเดียว น่าอัศจรรย์มากไม่ถูกแม้กระทั่งต้นไม้ใหญ่ – น้อย ทั้งหลายโดยลูกธนูวิ่งลัดเลาะเข้าป่าลึกหายไปเหมือนมีชีวิตจิตใจ ทางด้านนายพรานเมื่อยิงไม่ถูกวัวสักตัวก็โมโหมากจึงถือธนูถูกับก้อนหินใหญ่ จนธนูแตกหักใช้การไม้ได้ ส่วนลูกธนูที่เหลือก็นำไปทุบกับต้นไม้จนย่อยยับหักไป และถุงสะพายที่ใส่ลูกธนูได้นำไปเผาไฟทิ้งเสียจนหมด พอได้สติขึ้นมาก็นั่งสงบสติอารมณ์สักพักใหญ่ พร้อมได้ระลึกนึกถึง บาป,บุญ,คุณ,โทษ ที่ได้ทำมาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นายพรานก็เลิกจากอาชีพพรานป่า แล้วหันมานับถือพระรัตนไตรเป็นที่พึ่งพร้อมด้วย พรหมวิหาร ๔ ถือศีล ๕ ศีล ๘ ตามลำดับ พระพุทธองค์เล่าจบ โปรดพระธรรมเทศนาจบแล้ว จึงถอด พระเกศา (เส้นผม) ไว้ให้พญานาคราชผู้เป็นใหญ่ที่ดูแลถ้ำแห่งนี้ เพื่อเป็นที่สักการะบูชาของพญานาคราช พญานาคราชจึงได้นำเอาขวดผาพร้อมลูกแก้วงามใสใส่รวมกับพระเกศา บรรจุไว้ในดอยลูกนี้ แล้วใส่ชื่อว่า “ม่อนศิลา” ดังนี้ฯ ต่อจากนั้นพระองค์ได้เสด็จไปที่ดอยผาตั้ง (ดอยยาว) และได้พบกับพระฤาษีตนหนึ่ง บำเพ็ญภาวนาที่นั่นจึงตั้งชื่อว่า ม่อนฤาษี พระฤาษีได้นำเอาคัณโฑน้ำมาถายแด่พระพุทธองค์ เมื่อพระพุทธองค์ฉันน้ำเสร็จแล้วได้ถอดพะเกศาให้ไว้เพื่อเป็นที่สักการะบูชา ต่อจากนั้นได้เสด็จไปถึงสระน้ำใหญ่ ชื่อว่า หนองขี้หม่า (ปัจจุบันชื่อหนองพระยาพรหม) แล้วทรงทำนายว่าอีกไม่นานในอนาคตจะมีผู้คนมาอาศัยอยู่มากมาย แล้วจึงเสด็จต่อไปจนถึงดอยง้มแม่ลาน เพื่อไปโปรด (ขุนธรรมิลัง) ผู้อยู่รักษาดอยง้ม ขุนธรรมิลังได้เตรียมจัดสถานที่ พร้อมกับบุตรและธิดา เพื่อต้อนรับพระพุทธองค์ด้วยปูลาดทำเป็นอาสนะ ในถ้ำแห่งนั้นแล้วถวายมธุบุปผาและอาหารพร้อมทั้งบุตร – ธิดา ก็พากันมาทำประทักษิณรอบพระองค์ ๓ รอบ พระองค์ถอด พระเกศา ไว้ในถ้ำเพื่อเป็นที่สักการะบูชา เพื่อเป็นบุญกุศลแก่ผู้ที่ได้สักการะเคารพบูชาต่อไป พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า พระธาตุทั้ง ๓ แห่ง นั้คือ (ดอยงู) ม่อนผาตั้ง หรือม่อนฤาษี คือ (ดอยยาว) ม่อนดอยง้มหลวง คือ (ดอยง้ม) พอถึงเวลาเดือน ๙ เหนือขึ้น ๑๕ ค่ำให้พร้อมกันฟังเทศน์,บำเพ็ญ,สมาธิ,ภาวนา และสักการะบูชายังพระเกศาธาตุ เพื่อให้เกิดความเป็นบุญบารมี เป็นสิริมงคลแก่พุทธบริษัทโดยทั่วหน้า พร้อมทั้งให้ภาวนายัง พุทธานุสสติ ,ธัมมานุสติ,สังฆานุสสติ และอารัมมณานุสสติ ก็จักเป็นบุญกุศลหาที่สุดมิได้ นอกจากนั้น พระพุทธองค์ยังได้สอนให้ทุกๆคน ละทิ้งความชั่ว ทำแต่ความดี ทำจิตให้ผ่องใส “ละชั่ว ทำดี จิตใจ” สร้างสมบารมี เพื่อให้มีความเจริญก้าวหน้า และเป็นกำลังสำคัญในการส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้วัฒนาสถาพรสืบไปฯ ตอนที่ ๒ สำหรับตอนที่ ๒ นี้ เป็นการเล่าถึงการบูรณะปฏิสังขรณ์ในตอนหลังนี้ เท่าที่รวบรวมได้จากเอกสารหลักฐานที่จะพอจะหาได้ช่วงที่ขาดหายไประหว่างตอนที่ ๑ และตอนที่ ๒ นั้น สันนิษฐานว่า คงจะมีการปรับปรุงพัฒนามาโดยตลอด ซึ่งไม่อาจจะหาข้อเท็จจริงได้ จึงขอเล่าเฉพาะที่หาหลักฐานว่าคงจะมีการปรับในปัจจุบันเท่านั้น ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้ พ.ศ. ๒๔๖๘ ได้มีพระอธิการแสง สุรินโท เจ้าอาวาสวัดป่าเปาร่วมกับ “ขุนคชสนานคามรักษ์” ตำแหน่งกำนัน ตำบลแช่ช้าง และผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๓ คือ นายหม่อง นางก๋อง สุทธสม ได้ร่วมกันขุดบ่อน้ำและสร้างศาลาที่พัก ๑ หลัง พร้อมทั้งได้ร่วมกับคณะศรัทธาป่าเปาช่วยกันถากถางทำทางขึ้นจนถึงยอดดอยงู (คำว่า “ดอยงู” คงจะมาจาก งูใหญ่ ตามตำนานเล่าขานว่าพญานาคราชก็หมายถึงงูใหญ่ นั่นเอง) พ.ศ. ๒๕๒๐ ทางผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๒ (ม่วงชุม) คือ นายเงา ตันปัญญา ได้นำราษฏร ทั้งหมู่ ๒ และหมู่ที่ ๓ ซึ่งเป็นคณะศรัทธาวัดป่าเปาได้ร่วมกันทำถนน โดยขอความร่วมมือจากเจ้าของที่ดินหลายท่านในการทำถนนครั้งนี้ ชาวบ้านช่วยกันทำโดยใช้จอบ (ขอบ๊ก) ช่วยกันทำและปรับแต่งแนวถนน เพื่อจะให้รถยนต์วิ่งได้โดยสะดวก ใช้งบประมาณ ๗.๐๐๐ บาท (เจ็ดพันบาท) เท่านั้นได้ระยะทางประมาณ ๑,๕๐๐ เมตร (หนึ่งพันห้าร้อยเมตร) พ.ศ.๒๕๓๒ ผู้มีจิตศรัทธาได้นำพระพุทธรูปทองคำสัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง ๑.๕๐ เมตร มาถวายเพื่อเป็นพระประธาน คือ คุณไพโรจน์ อ่วมใจหนัก จากกรุงเทพมหานคร โดยการแนะนำของกำนัลอนิรุทธิ์ นางจรัศ อารยรุ่งโรจน์ (แก้วน้อย) นอกจากถวายพระประธานแล้วนำพระประธานขึ้นประดิษฐานพร้อมกับงูทองเหลืองอีก ๒ ตัว เพื่อไว้เป็นที่สักการะตามชื่อของ “ดอยงู” สืบๆมาในการนำพระประธานขึ้นประดิษฐานไว้บนดอยงูครั้งนี้ เนื่องจากยังไม่มีถนนขึ้นบนยอดดอย จึงใช้วิธีขอความร่วมไม้ร่วมมือ ขอแรงสามัคคีจากคณะศรัทธาวัดป่าเปา ช่วยกันใช้สายผูกเชือกมัด แล้วรองด้วยยางรถยนต์ขนาดใหญ่แล้วออกแรงชักลากทีละน้อย ใช้เวลาพอสมควร จากเชิงดอยข้างล่างจนถึงยอดดอยด้วยความยากลำบาก จนสำเร็จได้ ด้วยพลังความสามารถความสามัคคี พ.ศ. ๒๕๓๗ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ ๒ พ่อหลวงอุม ปาลี และผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ ๓ พ่อหลวงบุญมี สุรินต๊ะ ช่วยกันทำโครงการตัดถนนและเทคอนกรีตเสริมไม้ไผ่เป็นระยะทาง ๓๐๐ เมตร พ.ศ. ๒๕๕๒ วันที่ ๑๓ สิงหาคม ได้มี คุณอายุธ นาครทรรพ จากกรุงเทพมหานครได้ แสดงความจำนง จำเอาพระพุทธรูป ปางประทับยืนนาคปรก สูง ๓.๙๐ เมตร มาตั้งประดิษฐานไว้บนดอยงู ก่อนจะนำพระพุทธรูปมาไว้ได้ให้ช่วงมาปิดทอง (จังโก) รอบองค์พระเจดีย์ธาตุเหลืองงามตามใช้งบประมาณ ๒๔๘,๐๐๐ (สองแสนสี่หมื่นแปดพันบาทถ้วน) จนเรียบร้อยถึงทุกวันนี้ฯ เท่าที่เคยได้ยินผู้เฒ่า,ผู้แก่,ผู้สูงอายุเล่าขานว่า แต่เดิมทีเคยเห็นปากถ้ำอยู่ทางทิศเหนือของดอยงู และมีต้นไม้ “ตะเคียนคู่” สูงใหญ่มากอยู่ใกล้ๆปากถ้ำ ปัจจุบันนี้ทั้งต้นไม้ตะเคียน และถ้ำมีเพียงร่องรอยเท่านั้นส่วนปากถ้ำก็มีหินใหญ่ ๒ ก้อนปิดทับไว้ โดยมีพระศรีมหาโพธิ์ แซกออกตรงกลางหว่างหินดูน่าอัศจรรย์ยิ่ง ส่วนต้นไม้ตะเคียนคู่ได้แห้งตายลง ทางคณะศรัทธาวัดป่าเปาทุกท่านเห้นพ้องต้องกันตกลงในที่ประชุมใหญ่ ได้ให้ช่างไม้เลื่อยทำเป็นแผ่น เพื่อนำมาใช้ก่อสร้างศาสนาวัตถุในวัดต่อไป นอกจากนี้แล้ว ผู้สูงอายุยังเล่าขานต่อไปว่า “เคยเห็นแสงพระธาต” ลอยจากดอยงูมาที่วัดป่าเปาเสร็จแล้วกลับลอยไปที่ดอยงูเหมือนเดิม ตรงกับคืนวันพระที่สำคัญๆ ในทางพระพุทธศาสนา (ศีลใหญ่ – ศีลสำคัญ) เช่น วันมาฆบูชา,วันวิสาขบูชา เป็นต้น เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่า “ดอยงูเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์” น่าเคารพสักการะและบูชาอย่างยิ่ง จึงขอเชิญชวนทุกท่าน ไปเคารพสักการะบูชา เพื่อให้เกิดศิริมงคลแก่ชีวิตและครอบครัวสืบต่อไปฯ คำกลอน ตามตำนาน ผ่านมา น่าคิดอยู่ เรื่องดอยงู เข้าที มีแก่นสาร ท่านพากเพียร เขียนไว้ ในใบลาน เป็นตำนาน น่าเคารพ นบบูชา เท่าที่เห็น เป็นของดี ที่ศักดิ์สิทธิ์ รวมความคิด รวมจิตใจ ได้แน่นหนา ไม่เคยละ ประเพณี มีเรื่อยมา มวลศรัทธา วัดป่าเปา เราภูมิใจ ขอเชิญชวน มิตรแท้ ทุกทิศา สร้างศรัทธา ร่วมกัน อย่าหวั่นไหว เพิ่มบุญญา บารมี ที่เกรียงไกร เพื่อจะได้ ก้าวหน้า สถาพร ขออ้างอิง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์กล้า ม่อนศิลา หรือดอยงู สู่สิงขร โปรดมาช่วย อวยชัย ให้แน่นอน ดับทุกข์ร้อน ให้ร่วมเย็น เป็นสุขเอย......... ตำนาน พระมหาอุปคตเถรเจ้า (“ปราบมาร”) “พระมหาอุปคตเจ้า” เป็นพระอรหันต์ที่มีฤทธิ์อำนาจในทางปราบมาร , บันดาลโชค นามของพระอุปคุต แปลว่า “ผู้ที่คุ้มครองรักษา” พระมหาอุปคุตท่านชอบความวิเวก ท่านจึงเข้านิโรธสมาบัติจำพรรษาอยู่ในกุฏิเรือนแก้วกลางสะดือทะเล พระมหาอุปคุตเจ้าเป็นพระอรหันต์ที่ทรงมหิทธานุภาพมากเป็นศิษย์ของ “พระมหากัสสปะ” พระมหาอุปคุตเจ้าเกิดในตระกูล พ่อค้าขายเครื่องหอม อยู่ที่เมือง มถุรา แคว้นสุรเสนะบนฝั่งแม่น้ำ ยมุนา ตอนนั้น อุปคุตได้มาช่วยบิดาขายเครื่องหอมอยู่ที่ตลาดก็ปรากฏว่า เครื่องหอมขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ผู้คนมาซื้อหากันไม่ขาดสาย นี่เป็นปกติธรรมดาของผู้ที่มีบุญ ไปที่ไหนทรัพย์สินก็จะหลั่งไหลมาด้วยอำนาจบุญ เพราะฉะนั้นจึงมาความเชื่อกันว่า ผู้ที่ทำการค้าขายหากมีพระมหาอุปคุตเถรเจ้าไว้บูชาประจำร้านค้า และบูชาทุกเช้าตอนเปิดร้านก้จะทำให้ค้าขายดี มีคนมาซื้อไม่ขาดสาย ทรัพย์สินก็จะหลั่งไหลมา ก่อการเจริญก้าวหน้าเป็นปึกแผ่นมั่นคงตลอดไปฯ ส่วนการปราบมาร ของพระมหาอุปคุตเถรเจ้านั้น ครั้งเมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชทรงนับถือ พระพุทธศาสนาทรางได้สร้างพระวิหาร และพระสถูปบรรจุพรมสารีริกธาตุแล้วเสร็จ ได้มีการสมโภชน์ครั้งใหญ่ตลอด ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน แล้วได้นิมนต์พระมหาอุปคุตเถรเจ้ามาคุ้มครองงานให้ปราศจากอุปสรรค ครั้งนั้น “พญามารรสวดีมาร” ได้มุ่งทำลายงานสมโภชน์ พระมหาอุปคตเถรเจ้าได้ปราบมารจนสิ้นฤทธิ์ และอธิฐานประคตเอว เป็นโซ่มัดพญามารรสวดีติดกับภูเขาไว้จนทำให้งานสำเร็จด้วยดี ด้วยปฏิหารปรากฏครั้งว่า ผู้ที่มีพระมหาอุปคตเถรเจ้าบูชาอยู่กับตัว จะแคล้วคลาด , ปลอดภัย , คงกระพันชาตรี , มหาอุด , และโชคลาภ , เมตตามหานิยม จึงทำให้มีผู้แสวงหา พระมหาอุปคุตเถรเจ้ามาสักการะบูชากันอย่างแพร่หลาย ปัจจุบัน ยังมีความเชื่อว่า พระมหาอุปคุตเถรเจ้ายังมีชีวิตอยู่ในทุกวันเพ็ญ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ตรงกับวันพุธ (เป็งพุธ) ชาวบ้านล้านนาเรียกว่า “วันเป็งพุธ” พระมหาอุปคตเจ้า จะออกบิณฑบาตรเวลากลางคืน ทำให้เกิดเป็นประเพณีตักบาตรกลางคืนขึ้น ด้วยข้าวสาร , อาหารแห้ง , ดอกไม้ธูปเทียน เชื่อว่าผู้ใดใส่บาตรพระอรหันต์ แห่งการปกครอง พร้อมทั้งได้ปราบมารบันดาลโชค ได้คัดสารพิมพ์ที่สวยงาม โดยมีลักษณะพิเศษรุ่งเรือง ร่างนี้คือ ลักษณะของปรางค์นี้ มือขวาได้ล้วงลงหยิบข้าวในบาตรเพื่อจะฉัน อันเป็นนิมิตหมายให้แก่ผู้ที่บูชา มีความอุดมสมบูรณ์ , มีกิน , มีใช้ตลอดกาล ฐานองค์พระได้จำลองขณะที่ท่านจำพรรษาใต้กลางสะดือทะเลมหาสมุทร ประกอบด้วย “ดอกบัว” หมายถึง ความสดชื่นแจ่มใสเบอกบานงอกงามแห่งชีวติ “รูปเต่า” คือ อายุ หมายถึง ความมีอายุยืนนาน “รูปปู” คือ วรรณะ หมายถึง ผิวพรรณผ่องใสสวยงามเหมือนกับมันปู “รูปปลา” คือ สุขะ หมายถึง ความสุขตัวปลาที่สามารถแหวกว่ายได้อย่างอิสระ รูปหอย คือ พละ หมายถึง มีพละกำลังดังหอยที่สามารถขึ้นสูงที่สุด ??
วัดพระธาตุดอยงู

รอปรับปรุง